บทที่ 5

การทำ Technical SEO พร้อม 8 เช็คลิสต์สำคัญ

เราอาจจะ optimize การทำเว็บ ทำ SEO ส่วนต่าง ๆ เช่น ทำคอนเทนต์ ทำลิงก์ ทำอะไรจนสมบูรณ์แบบแล้ว แต่เว็บก็ยังไม่ติดหน้าแรกเสียที performance ยังไม่ดีขึ้น คนเข้าเว็บน้อย? หรืออาจจะเป็นเพราะด้าน Technical ยังไม่เวิร์คพอ Googlebot เลยมาเก็บข้อมูลหน้าเว็บเราได้ไม่เต็มที่?

Son Content Mastery
Son Content Mastery
อัปเดต: 26 July 2025
อ่าน 8-12 นาที ฟรี 100%


Technical SEO คือ การทำ SEO ที่ต้องอาศัยความรู้เชิงเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีความยุ่งยากอยู่นิด แต่ถ้าเรามีความเข้าใจส่วนนี้ที่ดีแล้ว จะทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้มากขึ้นทวีคูณ โดยการทำ Technical SEO จุดประสงค์หลัก ๆ มี 2 ส่วน คือ

  • เพื่อให้ Google ให้มา crawl (เก็บเกี่ยว) หรือเข้าถึงข้อมูลหน้าเว็บเราได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น (ทำนองว่าเราอำนวยความสะดวกให้ Google มาเก็บเกี่ยวเนื้อหาของเว็บเราได้ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้) โดยจะทำให้ Google ทำการ index ของเว็บเราได้ดียิ่งขึ้น
  • มอบประสบการณ์ใช้งานที่ดีต่อผู้ใช้ เช่น เว็บไหลลื่น โหลดเร็ว มีลิงก์นำทาง (Navigation Link) ที่ชัดเจน กดไปหน้าต่าง ๆ ได้สะดวก โดยมีจำนวนการคลิกที่น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ รวมไปถึงเว็บมีความปลอดภัย เป็นต้น


Technical SEO Checklist เบื้องต้นแบบง่าย ๆ ในปี 2025

  • ความเร็วของเว็บไซต์ (Page Speed)
  • Site Structure
  • URL Structure
  • Mobile Friendly
  • SSL Connection
  • Structured Data (JSON-ld)
  • robots.txt
  • JavaScript Rendering
จริง ๆ ยังมีอีกมากมายหลายส่วนนะครับ แต่อันนี้ขอเป็นภาพรวมบางส่วนละกันครับ


1. ความเร็วของเว็บไซต์ (Page Speed)

Page Speed ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากในการทำ Technical SEO เพราะว่าถ้าเว็บเราใช้เวลาโหลดหน้าเว็บนานเกินไป จะทำให้คนหมดความอดทนในการรอหน้าเว็บเรา จนทำให้เขาเหล่านั้นกดออกจากหน้าเว็บเราไปในทันที ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ที่ไม่ดี (Bad UX) 

โดยเราสามารถวัดความเร็วหรือ performance ของเว็บผ่าน PageSpeed Insights ได้เลยครับ


ทดสอบ performance ของเว็บใน PageSpeed Insights (หน้าเว็บเก่า ของ Content Mastery)

ถ้าเว็บเรามี technical performance ที่ดี มันจะขึ้นสีเขียวเกือบทุกตัว (แต่ไม่จำเป็นต้องได้ครบ 100 หรือสีเขียวทุกตัวนะครับ บางเว็บที่คอนเทนต์เยอะ ๆ มีการใช้ JavaScript หรือ animation ต่าง ๆ หนัก ๆ ก็เป็นไปได้ยากที่จะเขียวหมด แต่ถ้าเป็นไปได้ก็จะดีมาก)

ดังนั้นเราจะต้อง optimize การโหลดของหน้าเว็บเราให้เร็วและไหลลื่นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (โดยมาตรฐานแล้ว ช้าสุดไม่ควรเกิน 3 วินาที) รวมไปถึง Core Web Vitals ก็ต้องดีหรือผ่านเกณฑ์ด้วย (ซึ่งเหล่านี้เป็น metric ที่วัดผลได้)


2. Site Structure (โครงสร้างของเว็บไซต์)

นอกเหนือจากเว็บของเรามีโครงสร้างที่ดี เป็นมิตรและเอื้ออำนวยให้ Search Engine ให้เข้ามาเก็บข้อมูลได้อย่างสะดวก ยังมีอีกส่วนที่สำคัญมาก ๆ คือ ต้องออกแบบโครงสร้างให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งาน (User Experience) ที่ดีที่สุด

ซึ่งการปรับโครงสร้างเว็บไซต์นั้นแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ต้น (แต่ก็คงดีกว่าแน่ ๆ ถ้าเราวางแผนส่วนนี้มาให้ดีตั้งแต่แรก จะได้ไม่ปวดหัวหรือรื้อโครงสร้างในภายหลัง) 




หน้าสำคัญ ๆ ไม่ควรจะอยู่ลึกเกินไป

การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี แบ่งเส้นทางของ URLs ได้แบบชัดเจนโดยแยกหมวดหมู่ (Category) ของแต่ละหน้าออกให้ชัดเจนเพื่อรองรับ short/middle-tail keyword (ถ้าเว็บอีคอมฯ ก็มักจะเป็นพวก commercial keyword ครับที่วางไว้หน้าหมวดหมู่) ที่มันไปสัมพันธ์กันกับคีย์ทุกคีย์ที่เกี่ยวข้องกันทั้งส่วนที่เป็น commercial/transactional intents (หน้าขายสินค้าหรือบริการ) และ informational intent (พวก blog/news) พอ user เสิร์ชคำสั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามา เราก็จะให้มาเจอหน้า category นี่แหละครับ เพราะมันรวมความเกี่ยวข้องทุก intent ไว้ในหน้านี้ (ผมคิดว่าส่วนนี้มันมีความเกี่ยวข้องกับ Semantic Search ครับ)

ลองดูเว็บขายสินค้าชื่อดัง อย่างเว็บ Big C จะเห็นว่าก็จะวาง category ไว้แบบนี้


จะได้หน้านี้ อันนี้ก็คือแนวทางปกติทั่วไปที่ทำกันเลยครับ



จะได้ URL สำหรับหน้า Cate... (เผื่อเป็นไอเดีย)

https://www.bigc.co.th/category/dry-cat-food


อันนี้จากประสบการณ์ของผมนะครับ

โดยหมวดหมู่แบบนี้อาจจะไม่ได้ตายตัวเหมือนภาพด้านบน ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดหรือบริบทของเว็บไซต์นั้น ๆ ถ้าเว็บใหญ่ก็จะมีหมวดหมู่ต่าง ๆ เยอะและก็จะมี Navigation ที่ซับซ้อนมากกว่าเว็บไซต์ขนาดเล็ก



3. URL Design & Structure

โครงสร้าง URLs ที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ทำไมผมถึงบอกแบบนี้ ก็เพราะว่าการออกแบบ URLs นั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์อีกอย่างเลยก็ว่าได้ ถ้าเราดีไซน์ URL ได้ดีนั้น จะส่งผลดีต่อทั้งเสิร์ชเอนจินให้ทำความเข้าใจเว็บเราได้ง่ายและดียิ่งขึ้น และสำคัญเลยก็คือจะทำให้ผู้ใช้งานเว็บเรามีประสบการณ์การใช้งานหน้าเว็บที่ดียิ่งขึ้นเช่นกัน หากเราออกแบบ URL ไว้ดี มีคีย์เวิร์ดและเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจน


โครงสร้าง URL



แนวทางการออกแบบ URL ที่ดี 


บทความแนะนำ: การออกแบบ SEO Friendly URLs



4. Mobile Friendly

อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันนั้น Google ให้ความสำคัญกับการแสดงผลบนมือถือมากที่สุด มากกว่าอุปกรณ์แบบอื่น ๆ ดังนั้นหน้าเว็บเราควรจะเป็นมิตรกับผู้ใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น มือถือหรือแท็บเล็ต โดยปกติแล้วเว็บส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ Mobile-friendly หรือ Mobile Responsive กันหมดแล้วครับ


Bootstrap Responsive (photo credit: w3school)


5. SSL Connection

นี่ก็เป็นมาตรฐานไปแล้วครับ ที่ทุก ๆ เว็บไซต์ควรจะมีก็คือ การติดตั้ง SSL Certificate บนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งจะช่วยทำให้เว็บเรามีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างประสบการณ์ใช้งานผู้ใช้ที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่ามันช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บเรารู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้นนั่นเอง วิธีดูว่าเว็บไซต์ไหนที่มี SSL ติดตั้งหรือไม่ นั่นก็คือเว็บนั้นมีโปรโตคอลที่มี https หรือสังเกตง่าย ๆ คือมีสัญลักษณ์กุญแจปรากฏอยู่บน address bar ของ URL




6. Structured Data

Structured Data เรียกได้อีกแบบว่า Schema Markup เป็นฟอร์แมตที่ช่วยให้ Google เข้าใจเกี่ยวกับหน้าเว็บเพจของเรามากยิ่งขึ้น ทำให้มีโอกาสแสดงผลแบบ rich snippets ในหน้า SERPs ได้ดีมากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งการที่เราได้ส่วนแบ่งพื้นที่ในหน้า Google Search ได้เยอะมากขึ้นอีกด้วย



Photo Credit: Ahrefs - ตัวอย่าง Rich Snippets ในรูปแบบรีวิว ที่แสดงบนหน้า SERP 

จากภาพด้านบน Google ไม่ได้แสดงผลรีวิวหรือรูปดาวแบบนี้ให้เราอัตโนมัติครับ โดยเจ้าของเว็บไซต์ต้องสร้างหรือกำหนด Structured Data ขึ้นมาเพื่อให้ Google แสดง Rich Snippets ในแบบที่เราต้องการ ซึ่งด้านบนเป็นรูปแบบ Review โดยจะได้โค้ด JSON-Ld ด้านล่าง (แต่ Google ก็ได้บอกว่าไม่ได้การันตีเช่นกันว่าจะแสดงผลแบบนี้ให้เรา)

ตัวอย่าง Structured Data แบบ JSON-Ld (Google แนะนำ)

<script type="application/ld+json">
{
  "@context": "https://schema.org/",
  "@type": "Product",
  "image": "http://www.example.com/iphone-case.jpg",
  "name": "The Catcher in the Rye",
  "review": {
    "@type": "Review",
    "reviewRating": {
      "@type": "Rating",
      "ratingValue": "4"
    },
    "name": "iPhone 6 Case Plus",
    "author": {
      "@type": "Person",
      "name": "Linus Torvalds"
    },
    "datePublished": "2016-04-04",
    "reviewBody": "I loved this case, it is strurdy and lightweight. Only issue is that it smudges.",
    "publisher": {
      "@type": "Organization",
      "name": "iPhone 6 Cases Inc."
    }
  }
}
</script>


จากตัวอย่างโค้ด JSON-Ld ด้านบน เราต้องมีความรู้ด้าน coding ด้วยครับถึงจะสามารถออกแบบและกำหนด Structured Data ได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าไม่มีความรู้ coding มากเท่าไหร่นัก ก็สามารถให้ทีม developer ของเราจัดการให้ได้

โดยโค้ดด้านบนจะถูกนำไปวางไว้ในส่วนของแท็ก <head> ... </head> ภายใน HTML code ของหน้าเว็บเพจของเราครับ

เครื่องมือแนะนำ: วิธีการใช้งาน Rich Results Test สำหรับทดสอบ Rich Snippets ของเว็บไซต์



7. robots.txt 

robots.txt เป็นไฟล์ที่ใช้บอกเพื่อไม่ให้ Search Engine เช่น Google ใช้ bot มาเก็บเกี่ยวเนื้อหาที่เป็นความลับหรือเนื้อหาที่เราไม่อยากให้คนภายนอกเห็น เช่น หน้า Admin หน้า Dashboard อะไรแบบนี้เป็นต้น เพื่อนำไปทำ index แล้วโชว์ในหน้า SERPs

ตัวอย่างไฟล์ robots.txt

User-agent: *
Disallow: /admin/
Disallow: /private/
Allow: /images/
Sitemap: https://www.example.com/sitemap.xml


8. JavaScript Rendering/Blocking


สำหรับเว็บไซต์สมัยใหม่ที่ใช้ JavaScript เป็น Tech Stack หลักในการสร้างหรือแสดงผลเนื้อหา แบบ CSR: Client-Side Rendering ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกที่คนทำ Technical SEO ต้องเจอเลยก็คือ "ปัญหาการแสดงผลเนื้อหาที่ไม่ครบ" 

ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่มักจะเกิดจากฝั่งเว็บไซต์ของเราเองที่มีโค้ด JavaScript บางอย่างที่ไปบล็อกรีซอร์สที่จำเป็นจนทำให้ Crawler หรือ Bots ของ Google ไม่สามารถ Render หน้าเว็บเพจนั้น ๆ ของเราออกมาได้อย่างสมบูรณ์ (อ่านเพิ่มเติม JavaScript SEO)

อย่างเช่นตัวอย่างด้านล่าง จะเห็นความแตกต่างระหว่างหน้าที่ Google Render ได้สมบูรณ์ (ขวามือ) กับหน้าที่ Render ได้ไม่ครบเพราะอาจมีปัญหาเรื่อง JavaScript (ซ้ายมือ) ครับ



ตัวอย่างเปรียบเทียบหน้าเว็บที่ถูก render ด้วย JavaScript (ที่มาของภาพ Sitebulb)


สรุป

ปัจจัยในการทำ Technical SEO เหล่านี้ที่ได้อธิบายไปนั้น สำหรับผู้เริ่มต้นให้ค่อย ๆ ทำความเข้าใจไปก่อนครับ ซึ่งผมก็หวังว่าจะทำให้เพื่อน ๆ มองภาพรวมในส่วนนี้ออกแล้วไปค้นคว้าด้วยตนเองเพิ่มเติมได้เป็นอย่างดีครับ

หากเพื่อน ๆ หรือท่านเจ้าของธุรกิจสนใจให้เราออกแบบโครงสร้างเว็บรวมถึงไปถึง Technical SEO service ครบจบในที่เดียว สามารถปรึกษาหรือสอบถามเพื่อติดต่อเราได้เลยครับ


คำถามที่พบบ่อย

คำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับบทเรียนนี้

Technical SEO คือ การทำ SEO ที่ต้องอาศัยความรู้เชิงเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งค่อนข้างมีความยุ่งยาก ซับซ้อนกว่าส่วนอื่น ๆ อยู่พอสมควร แต่ถ้าเรามีความเข้าใจส่วนนี้ที่ดีแล้ว จะทำให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้มากขึ้นทวีคูณ
1. อำนวยความสะดวกให้ Googlebot หรือบอตของเสิร์ชเอนจินมาเก็บเกี่ยวข้อมูลหน้าเว็บเราได้ดีที่สุดและ การปรับปรุงพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เช่น หน้าเว็บโหลดเร็ว สมูธ และมีความปลอดภัย เป็นต้น
การปรับ Site Structure, ความเร็วของเว็บไซต์ การออกแบบ URLs ที่ดี การเพิ่ม Structured Data หรือ Schema Markup เข้ามาในเว็บเพื่อช่วยให้แสดงผลแบบ rich results เป็นต้น

พร้อมเริ่มต้นเรียน SEO แล้วหรือยัง?

ดาวน์โหลดเอกสารและเครื่องมือ SEO ฟรี หรือสำรวจคอร์สขั้นสูงของเรา